วิเคราะห์ตัวละคร “พ่อเลี้ยง” จากเรื่อง เจ้าจันท์ผมหอม นิราศพระธาตุอินแขวน





          “เจ้าจันท์ผมหอม นิราศพระธาตุอินแขวน” เป็นผลงานของ มาลา คำจันทร์ (เจริญ มาลาโรจน์) ที่ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ประจำปี 2534 และเป็นผลงานที่ทั้งนักวิจารณ์และนักอ่านถกเถียงกันมากที่สุดในประเด็นที่ว่า แท้จริงแล้วเรื่องนี้เป็นนวนิยายหรือกวีนิพนธ์กันแน่ ด้วยลักษณะการประพันธ์ที่ผิดแปลกไปจากขนบเดิม คือ เป็นการเล่าเรื่องด้วยความเรียง สลับกับบทกวีที่เป็นฉันทลักษณ์เฉพาะของภาคเหนือ อันได้แก่ ค่าว คำขับ และโคลง (ครรโลง) ทั้งยังมีการหยิบยกเอาวรรณกรรมล้านนาที่มีชื่อเสียงอยู่แล้วมากล่าวไว้ในลักษณะของการอ้างถึง เช่น โคลงพรหมทัต นิราศหริภุญชัย เป็นต้น  ด้วยการเล่นกับฉันทลักษณ์ล้านนา ความงดงามทางด้านภาษาอันเต็มไปด้วยกลิ่นอายของท้องถิ่น และการเรียบเรียงคำที่สร้างจินภาพได้อย่างงดงาม ลงตัว  ทำให้เรื่อง “เจ้าจันท์ผมหอม นิราศพระธาตุอินแขวน” ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในเรื่องของภาษา และวรรณศิลป์ที่งดงาม

          

“เจ้าจันทร์ผมหอม นิราศพระธาตุอินแขวน” เป็นเรื่องราวของ เจ้าจันท์ หญิงสูงศักดิ์เชื้อเจ้า ผู้เลี้ยงผมหอม ตามสัจอธิษฐานที่เคยตั้งไว้ว่าจะตัดบูชาพระธาตุอินแขวน  ทว่าการเดินทางไปนมัสการพระธาตุอินแขวนของเจ้าจันท์นั้นยังมีนัยสำคัญอื่นแฝงอยู่ นั่นคือเรื่องราวความรักของเจ้าจันท์กับเจ้าหล้าอินทะ ที่ต้องมีอุปสรรค  การไปนมัสการพระธาตุอินแขวนในครั้งนี้เจ้าจันท์ได้ตั้งจิตอธิษฐานเสี่ยงทายว่า หากผมหอมสามารถปูลอดพระธาตุอินแขวนได้ เธอจะได้ครองคู่กับเจ้าหล้าอินทะผู้เป็นคนรัก แต่หากผมหอมปูลอดไม่ได้เธอจะต้องแต่งงานกับ พ่อเลี้ยง พ่อค้าชาวปะหล่องที่พึงใจในความงามของเจ้าจันท์ และเจ้าพ่อของเจ้าจันท์ก็เห็นชอบด้วย

          หากมองเรื่องราวของเจ้าจันท์ผ่าน ๆ ตา ผู้อ่านหลายคนคงสรุปอย่างง่าย ๆ ว่า นางเอกของเรื่องนี้คือ เจ้าจันท์ เพราะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเธอล้วน ๆ ทั้งยังดำเนินเรื่องผ่านมุมมองเธออีกด้วย  และเมื่ออ่านจนจบแล้วหลายคนก็อาจสรุปว่า เรื่องนี้ไม่มีพระเอก  บางคนก็อาจถือเอาว่าเจ้าหล้าอินทะ เป็นพระเอก และพ่อเลี้ยงเป็นตัวร้าย แต่จะมีสักกี่คนที่มองว่า พ่อเลี้ยง เป็นพระเอก?

          ก่อนจะกล่าวไปไกลกว่านี้ผู้วิจารณ์ต้องขออธิบายก่อนว่า การมองบทบาทของตัวละครนั้น แท้จริงแล้วไม่ควรแบ่งตามลักษณะที่เรียกว่า พระเอก นางเอก และตัวร้าย แต่ควรมองลักษณะบทบาทและความสำคัญของตัวละคร  ซึ่งถ้ามองในลักษณะนี้จะแบ่งตัวละครออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ตัวละครเอก (principal or main character) และตัวละครประกอบ (subordinate or minor character)  ซึ่งเจ้าจันท์นั้นจัดอยู่ในประเภทของตัวละครเอก  ส่วนเจ้าหล้าอินทะและพ่อเลี้ยงนั้น  จัดอยู่ในประเภทของตัวละครประกอบ

          อย่างไรก็ตามในความรู้สึกของคนทั่วไป ตัวละครย่อมแบ่งออกเป็นสองฝ่ายอยู่ดี คือฝ่ายของตัวเอก และฝ่ายตรงกันข้าม และคนส่วนใหญ่มักจะมองว่าฝ่ายตรงข้ามของตัวเอก ก็คือ ตัวร้ายนั่นเอง  ในกรณีของ พ่อเลี้ยง ในที่นี้นับว่าอยู่ฝ่ายตรงกันข้ามกับตัวเอก (เจ้าจันท์) เนื่องจากความปรารถนาของเจ้าจันท์ คือ ครองคู่กับ เจ้าหล้าอินทะ แต่ความปรารถนาของพ่อเลี้ยงคือ การได้ครองคู่กับเจ้าจันท์  เมื่อตัวเอก (เจ้าจันท์) มีปฏิสัมพันธ์กับ พ่อเลี้ยง ในทางลบ และเรื่องราวก็ถูกเล่าผ่านมุมมองความรู้สึกของเจ้าจันท์  ความรู้สึกของผู้อ่านที่มีต่อพ่อเลี้ยงจึงเป็นความรู้สึกทางลบเช่นเดียวกับเจ้าจันท์โดยอัตโนมัติ           

          ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างบทสนทนาและเหตุการณ์บางส่วนบนหลังช้างระหว่างพ่อเลี้ยงกับเจ้าจันท์ ที่แสดงถึงทัศคติของเจ้าจันท์ที่มีต่อพ่อเลี้ยง

 

          “ข้าหนักใจแท้พ่อเลี้ยง เสือสางช้างร้ายข้าบ่กลัว แต่กลัวข่าว้า”

          “เจ้าจันท์บ่ต้องกลัว” มันเอี้ยวคอมา “ข้ายังอยู่ หากมันจะแตะต้องปลายเล็บเจ้าจันท์ก็ข้ามศพข้าไปก่อนเทอะ”

          ...

          “เจ้าจันท์” พ่อเลี้ยงมันเอี้ยวคอมาอีก มันกล่าวถ้อยขึงขังสายตาจริงจัง “ข้าบ่ได้อู้เล่น ๆ ถึงข้าจะตายเป็นผี ผีข้าก็จะปกห่มเจ้าจันท์ไว้ เชื่อใจข้าเทอะ”

          เจ้านางหล้าโลกเมินหนี ปากหนอปาก ปากมันว่ารัก รักหนักรักหนา รักเหมือนจะยอทูนไว้เหนือชีวิต ปากมันว่ารักแต่มือมันเหมือนถือมีด ปากมันว่าแท้ ใจมันบ่ตาม เอาน้ำใสงามปิดบังขุ่นใต้...  รักเป็นอย่างใดกันแน่ รักแล้วคนที่มันรักมีแต่ทุกข์ข้องหมองใจ แต่มันไซร้มีแต่สุขบาน มันสุขแต่เจ้าจันท์ทุกข์ อันนี้แล้วฤๅ ความรักของมัน

 

          จากบทสนทนาและเหตุการดังกล่าวจะเห็นได้ว่า แม้พ่อเลี้ยงจะแสดงออกถึงความห่วงใย และความรักต่อเจ้าจันท์อย่างไร ในสายตาของเจ้าจันท์ก็ไม่ได้มองพ่อเลี้ยงในแง่ดี แต่กลับมองว่าพ่อเลี้ยงนั้นเสแสร้ง มองว่าความรักของพ่อเลี้ยงนั้นเป็นความรักที่เห็นแก่ตัว มีเพียงตัวพ่อเลี้ยงเท่านั้นที่มีความสุข ส่วนตัวเจ้าจันท์ต้องเป็นทุกข์เพราะความรักของพ่อเลี้ยง 

          เหตุที่เจ้าจันท์รู้สึกอย่างนั้นก็เป็นเพราะลึก ๆ แล้วแม้ว่าเจ้าพ่อของเจ้าจันท์จะห้ามไม่ให้คบหากับเจ้าหล้าอินทะ แต่ตัวเจ้าจันท์นั้นยังคงรอเจ้าหล้าอินทะอยู่ จนเมื่อพ่อเลี้ยงเข้ามาสู่ขอเจ้าจันท์ และเจ้าพ่อก็เห็นดีเห็นงามด้วยนั้น  เจ้าจันท์จึงเกิดความรู้สึกว่าพ่อเลี้ยงเป็นเหตุให้ตนหมดหนทางได้ครองคู่เจ้าหล้า อีกทั้งการเดินทางไปนมัสการพระธาตุอินแขวนที่เจ้าหล้าเคยตั้งใจไว้ว่าจะเป็นผู้พาไป พ่อเลี้ยงกลับอาสาพาไปเสียเอง  พ่อเลี้ยงจึงเปรียบเสมือน ผู้ทำลาย ความรักของทั้งคู่ในความรู้สึกของเจ้าจันท์ 

          นอกจากทัศนคติของเจ้าจันท์ที่เป็นส่วนสำคัญในการสร้างภาพ ตัวร้าย ให้กับพ่อเลี้ยงแล้ว ส่วนสำคัญที่ทำให้คนมองพ่อเป็นตัวร้าย ก็คือ คำขับลังกาสิบหัว หรือ ขับลื้อลังกาสิบหัว ที่ผู้แต่งได้นำมาประกอบไว้ในเรื่อง  ซึ่งนับเป็นความชาญฉลาดอย่างหนึ่งของผู้แต่งที่ได้หยิบยกเอาบางบทบางตอนจากเรื่อง ลังกาสิบหัว ซึ่งเป็นวรรณกรรมของชาวไทลื้อ มีเรื่องราวใกล้เคียงกับเรื่องรามายณะ 
มาแทรกไว้ในในลักษณะที่ให้ตัวละครในเรื่องเป็นคนขับ และขับแทรกขึ้นเป็นระยะ ๆ จนกระทั่งเมื่อเจ้าจันท์เกิดความรู้สึกว่าเรื่องราวของตนไปพ้องกับเรื่องของนางสีดา ผู้อ่านก็จะรู้สึกตามไปด้วย 
ดังตัวอย่างต่อไปนี้

 

          มัวมืดคลุ้มเป็นหมอกเป็นเหมย

          ด้านด่าวเฮยสังมืดบ่เห็นทาง

          นางก็มาเวทนาร่ำไห้

          ว่าเจ้ายอดไทชายพี่แพงขวัญ

          บัวสวรรค์น้องสีดาห้อยพี่

          ยักษ์กาลีลักนางหนีกว่า

          จอมยอดฟ้าจักอยู่ฉันใด

          จักมีไผอยู่ดาแต่งข้าว

          จอมจักรเจ้าจักอับจนใจ

          บ่มีไผคอยรับใช้

          ยักษ์บาปใบ้กุมตัวนางมานี้แล้ว

         

          ง่อมอกเหงาใจนัก เจ้าพี่ป่วยไข้จักอยู่ฉันใด ใคร่กลับไปหาก็กลับบ่ได้ เมืองพิงค์เชียงใหม่อยู่ไกลไปทางหลังพู้น บุกป่าฝ่าดงมาได้สิบห้าวันแล้ว เข้าเขตแดนประเทศพม่ามาก็ลึกแล้ว ไกลตาไกลตีนแท้นัก เหมือนจะบ่ได้กลับคืนไป
อีกแล้ว

 

          จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า เมื่อเจ้าจันท์ได้ยินคำขับลื้อ ตอนนางสีดาถูกพรากกลางป่า

และร่ำไห้คิดถึงเจ้ารามาผู้เป็นสาม  เจ้าจันท์ก็นึกไปถึงเจ้าหล้าอินทะที่เจ็บป่วยอยู่ และตนเองไม่สามารถไปปรนนิบัติดูแลได้เพราะอยู่ห่างไกล 

 

          ยามนั้นหนา สีดาแก้วนางงามใสส่อง

          นางก็หากไห้ร่ำร้องเรียกหน่อรามา

          ว่าเจ้าขวัญหัวนางเหย จอมหัวผัวมิ่งนางเฮย

          เวย ๆ เจ้าจอมเกล้าอยู่หัวชอมตัวนางด่วน

          ใจหนาบ้าบาปล้วนร้ายราพณ์ลังกา

          มันลอบลักแก้วรักสีดาน้องพี่ไปแล้ว

          เจ้าจอมแก้วนั่งช้างจุ่งรีบเร็วมา

          เทอะเนอ

 

          เจ้านางงามแว่นฟ้า ยกผ้าบังหน้า รามาเจ้าบุญใหญ่ตกคล้อยเสียแล้ว พรากบ้านเสียเมือง เสียศักดิ์สูงรุ่งเรืองไปหมดแล้ว ช้างเคยนั่ง ม้าเคยขี่ ก็บ่มีแล้ว เจ้าจอมแก้วจักตามติดมาได้อย่างใด

 

          จะเห็นได้ว่า เมื่อเจ้าจันท์ได้ฟังคำขับแล้วก็นึกเปรียบว่าเรื่องลังกาสิบนี้คล้ายกับเรื่องราวของตน  เจ้าจันท์เปรียบตัวเองเป็นนางสีดา และเปรียบเจ้าหล้าอินทะว่าเป็นองค์รามา ถึงตรงนี้แม้ไม่ได้เอ่ยออกมาตรง ๆ แต่ผู้อ่านก็สามารถเดาได้ทันทีว่าเจ้าจันท์ได้มอบตำแหน่งสุดท้ายคือ ราพณ์ลังกา ไว้ให้พ่อเลี้ยงอย่างไม่มีทางเลือก  อีกทั้งเมื่อถึงฉากที่พ่อเลี้ยงมีบทบาทสำคัญ ก็มีคำขับกล่าวถึงราพณ์ลังกาไว้ด้วยเช่นกัน

          ตัวอย่างต่อไปนี้  คำขับที่แว่วมาในขณะที่พ่อเลี้ยงกำลังตกตะลึงในความงามของเจ้าจันท์

 

          เจ้าพาลาบ้าใบ้อาธรรมใหญ่

          มันหากได้เห็นแล้วแก้วหล่อสีดา

          สองตาก็ปักค้างยืนกระด้างจังงัง

          สิบปากมันพลั้งเป็นคำกล่าวว่า

          หนหาวดาวเดือนหาเปรียบบ่ได้

          สุดเสี้ยงดินฟ้าหาไหนได้เหมือน

          งามเทียบไท้สุชาดามิ่งสวรรค์

          สองตาหันหากพลันใคร่มัก

          สิบดาบฟักมีดฟันบั่นหัว

          จักปองเอาตัวตนนางจนได้

          จักเอาแก้วนาฏไท้ไปอยู่ลังกา

          กูแล้ว

           เมื่อเป็นเช่นนี้ภาพของพ่อเลี้ยงจึงถูกเปรียบกับราพณ์ลังกา ตัวละครฝ่ายร้ายที่ลักตัวนางสีดาจากเจ้ารามาโดยปริยาย ซึ่งผู้อ่านก็คงรู้สึกคล้อยตามได้ไม่ยาก เนื่องจากรูปลักษณ์ภายนอกของพ่อเลี้ยงนั้น ตรงกันข้ามกับลักษณะของตัวละครฝ่ายดีในมายาคติ (Myth) ของคนทั่วไปอย่างสิ้นเชิง  กล่าวคือ  พ่อเลี้ยงนั้นมีอายุมากกว่าเจ้าจันท์กว่าสิบปี  ทั้งยังมีภรรยาแล้ว  รูปร่างสูงใหญ่  ไว้หนวดเคราเหมือนโจร ว่ากันว่าเป็นชาวปะหล่องซึ่งสืบเชื้อสายจากผียักษ์เฝ้าห้วย ในขณะที่เจ้าหล้าอินทะนั้นเป็นเจ้าชายรูปงาม ทั้งยังมีเชื้อเจ้า แม้จะเป็นเพียงเจ้าชั้นปลายแถวแต่ก็ยังนับว่าสูงศักดิ์ และตรงกับภาพพระเอกในความรู้สึกของคนทั่วไปมากกว่า

 

          พ่อเลี้ยงเป็นเหตุให้เจ้าจันท์ไม่ได้ครอบคู่กับเจ้าหล้าจริงหรือ?

          สำหรับผู้วิจารณ์มองว่า ไม่จริง  เพราะเมื่อพิจารณาจากเนื้อเรื่องแล้ว จะพบว่ามูลเหตุแรก
ที่ทำให้ความรักของเจ้าจันท์กับเจ้าหล้าต้องมีอุปสรรคนั้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ที่ทำให้อำนาจราชสิทธิ์ของเจ้าหัวเมืองทางเหนือเสื่อมลง เจ้าหล้าอินทะที่เดิมก็เป็นเชื้อเจ้าชั้น
ปลายแถวอยู่แล้วยิ่งตกอยู่ในสภาวะย่ำแย่ เจ้าหล้าจึงตัดสินใจเข้าทำงานเป็นเสมียนป่าไม้ หวังจะ
เก็บหอมรอมริบเงินทองตั้งตัวให้ได้แล้วแต่งเจ้าจันท์ให้สมเกียรติ  ทว่าการตัดสินใจของเจ้าหล้าครั้งนั้นกลับทำให้เจ้าพ่อของเจ้าจันท์ไม่พอใจอย่างยิ่ง ด้วยมองว่าการกระทำของเจ้าหล้านั้นเท่ากับยอม
อ่อนข้อให้ชาวใต้ เป็นการกระทำที่เสื่อมเสียเกียรติยิ่งนัก  เจ้าจันท์จึงถูกห้ามมิให้พบปะกับเจ้าหล้าอีก

          เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้เจ้าหล้ากับเจ้าจันท์ต้องห่างไกลกัน ระหว่างนั้นเองพ่อเลี้ยงผู้ที่เคยตกตะลึงในความงามของเจ้าจันท์ ก็เข้ามาในคุ้มบ่อยขึ้น เดิมทีเจ้าพ่อของเจ้าจันท์ก็ไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นัก แต่เนื่องจากสภาวะในคุ้มนั้นย่ำแย่ และพ่อเลี้ยงผู้มั่งคั่งเสนอตัวช่วยเหลือทางการเงิน
จึงทำให้เจ้าพ่อและเจ้าแม่ของเจ้าจันท์เริ่มยอมรับในตัวพ่อเลี้ยง  และเมื่อทราบว่าพ่อเลี้ยงพึงใจในตัวเจ้าจันท์ท่านทั้งสองก็เห็นดีเห็นงามด้วย เพราะเห็นว่าพ่อเลี้ยงจะสามารถดูแลเจ้าจันท์ให้สุขสบายได้ไปตลอดชีวิต

          จะเห็นได้ว่า ความรักของเจ้าหล้ากับเจ้าจันท์นั้นถูกกีดกันจากเจ้าพ่อของเจ้าจันท์ตั้งแต่
ก่อนหน้าที่พ่อเลี้ยงจะเข้าคุ้มมาด้วยซ้ำ และต่อให้พ่อเลี้ยงไม่มาสู่ขอเจ้าจันท์ เจ้าพ่อของเจ้าจันท์ที่หยิ่งในยศศักดิ์ยิ่งนักก็คงไม่ยอมให้เจ้าจันท์แต่งกับเจ้าหล้าอยู่ดี

          คำถามที่ตามมาคือ หากเจ้าพ่อของเจ้าจันท์หยิ่งในยศศักดิ์ถึงเพียงนั้นแล้ว เหตุใดจึงยอมให้เจ้าจันท์แต่งงานกับชาวปะหล่องอย่างพ่อเลี้ยง?

          คำถามนี้เจ้าจันท์เองก็นึกสงสัยอยู่เช่นกันดังที่ปรากฏในตอนหนึ่งว่า

         

          เจ้าพ่อของลูก  เจ้าผู้ปลูกฝังกล่อมเกลี้ยงจนลูกเติบใหญ่ เจ้าพ่อชังชาวใต้ เจ้าพ่อมึนชาเจ้าพี่หล้าอินทะ หาว่าลดตัวลงจากหงส์เป็นกา แต่เจ้าพ่อกลับยอมยอบตัวค้อมหัวให้พ่อเลี้ยงพ่อล้าง เจ้าพ่อเห็นแก่ข้าคนม้าช้างของมันฤๅ จึงถือทักยักษ์ร้ายกลายเป็นเจ้าตนบุญมาค้ำหนุนสมภารไปได้

         

          หรือบางทีอาจเป็นเพราะแท้จริงแล้วเจ้าพ่อของเจ้าจันท์ทราบดีว่า พ่อเลี้ยงหาใช่ปะหล่อง
ต่องสู่อย่างที่คนกล่าวกัน หากแต่สืบเชื้อสายมาจากเจ้าหอคำอังวะก็เป็นได้  ซึ่งภายหลังเจ้าจันท์ก็บังเอิญได้เห็นตรามยุระยูงทองอันเป็นสัญลักษณ์ที่ของเจ้าหอคำอังวะห้อยอยู่ที่คอของพ่อเลี้ยงเช่นกัน ทำให้สบช่องถามไถ่ความจริงในข้อนี้

 

          “พ่อเลี้ยง”

          เจ้าจันท์เน้นเสียงมองหน้ามัน มองอยู่นานจนพ่อเลี้ยงหลบเลี่ยง

          “สูเป็นไผกันแน่ พ่อเลี้ยง”

          “เป็นคนเก่า เป็นพ่อเลี้ยง เป็นปะหล่องต่องสู่เชื้อผียักษ์ห้วยกินซากศพ”

          “สูช่างพูดช่างลดเลี้ยวไปแต่เมื่อใด”

          ข้าขอขมา ข้าบ่ช่างพูดหวานเป็นตาลปนอ้อย ข้ามันชาวป่าชาวดง เป็นปะหล่องต่องสู่อยู่ห้วยกินซากผี เจ้าจันท์”

          “มินต่อสู” เจ้าจันท์มองดวงตรามยุระนกยูงทองที่ห้อยคอพ่อเลี้ยง
“มินต่อนี้หากแม่นเชื้อสายเจ้าหอคำอังวะเท่านั้น สูได้มาอย่างใด”

          “ข้าบ่รู้แท้ ๆ สัจจัง พ่อข้าได้มาแต่ข้าตัวน้อยห้อยข้างพ่อ ได้มาอย่างไรข้าบ่รู้”

 

          ท่าทีของพ่อเลี้ยงในการตอบคำถามของเจ้าจันท์นั้นแสดงให้เห็นลักษณะนิสัยใจและทัศนคติของพ่อเลี้ยง ที่ไม่ได้ให้ความสำคัญว่าคนอื่นจะมองตนว่าเป็นใครหรือเป็นอย่างไร และแม้จะมีตรามยุระติดตัวอยู่ ก็ไม่ได้ถือยศถืออย่างอวดอ้างในชาติตระกูลของตนกับเจ้าจันท์เลยแม้แต่น้อย ซ้ำกลับกล่าวถึงตัวเองในลักษณะที่ต้อยต่ำกว่าเจ้าจันท์และเจ้าหล้าว่า

 

          “ข้ารู้ ข้าเข้าใจมาตลอด ข้ามันชาติเชื้อต้อยต่ำ ข้าเป็นพ่อค้า บ่แม่น
เชื้อเจ้า ข้ามันคนบ่เลาบ่งาม ข้ามันมีเมียแล้ว แต่ข้ารักเจ้าจันท์ รักซื่อรักใสบ่เคยคดเคี้ยว ข้าบ่ผิดที่รักเจ้าจันท์ ติดแต่ว่าข้ามันบ่เจียมตัว ข้ารักเจ้าจันท์ แต่เจ้าจันท์รักเจ้าหล้าอินทะ เจ้าชายงามผู้นั้นเป็นชายดีเหมาะสม ส่วนตัวข้ามันบ่

เหมาะสม...”

          จะเห็นได้ว่าพ่อเลี้ยงไม่ใช่คนประเภทที่คิดว่าตนเองสูงกว่าหรือดีกว่าคนอื่น ไม่ได้ยึดถืออยู่กับยศถาบรรดาศักดิ์  พ่อเลี้ยงมองตนเองในขณะที่เป็นอยู่อย่างตรงไปตรงมา  มองตนเองเป็นเพียงชายคนหนึ่งที่ทำอาชีพค้าขาย ที่แม้จะเคยมียศศักดิ์เพียงใดแต่ปัจจุบันก็เป็นเพียงคนสามัญธรรมดาเท่านั้น  นอกจากนั้น พ่อเลี้ยงยังกล่าวกับเจ้าจันท์อีกว่า 

 

           “...เจ้าจันท์ ปู่หม่อนย่าทวดข้าตายลับหน้าหมดแล้ว ใคร่รู้จักข้า เจ้าจันท์เล็งแลที่ข้านี้เทอะ ร้ายใดดีใดหากอยู่ที่ข้า แลเล็งเพ่งผีปู่หม่อนย่าทวดก็บ่เห็นตัวข้า”

 

          คำกล่าวของพ่อเลี้ยงเป็นการแสดงจุดยืนของตัวเองที่ปรารถนาจะให้เจ้าจันท์มองที่ ตัวตน ที่เป็นจริง ๆ ไม่ใช่มองเพียงแต่เปลือกนอก หากเจ้าจันท์อยากรู้จัก ตัวตน เขาก็ขอให้มองที่เขา ไม่ใช่มองที่ชาติตระกูล

          อย่างไรก็ตามหากมองผ่านภาพลักษณ์ภายนอก และพิจารณาที่ ตัวตน “พ่อเลี้ยง” ให้ดีแล้วจะพบว่า  แท้จริงแล้วพ่อเลี้ยวนับว่าเป็นผู้ที่มีจิตใจมั่นคง สุขุม เป็นผู้ที่เข้าใจโลก เข้าใจชีวิต และที่สำคัญมีความรักมอบให้เจ้าจันท์ไม่แพ้เจ้าหล้าอินทะเลยทีเดียว  ซึ่งจะขอยกตัวอย่างสถานการณ์และบทสนทนาที่แสดงให้เห็นถึงตัวตน และลักษณะนิสัยใจคอของพ่อเลี้ยง ดังนี้

 

          ...

          “นกอะหยังหือ พ่อเลี้ยง”

          “นกเงือก” พ่อเลี้ยงหันมาตอบเร็วรีบ

          “เคยได้ยินแต่ชื่อ มาเห็นตัวก็วันนี้ ปากมันใหญ่บ่สมตัว”

          “ตัวนี้มันนกตัวผู้ มันต้องออกหากินเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย นกเงือกตัวใดปากบ่ใหญ่ปีกขาบ่แข็ง มันหาลูกหาเมียบ่ได้”

          นางฟองคำร้อนหู นึกหมายแม่นแล้ว พ่อเลี้ยงมันต้องพาดพิงไปถึงเจ้าหล้าอินทะ นางยื่นหน้าสอดปากยาววา

          “นกตัวใดพรากคู่นกอื่นมันบ่ใช่นก เป็นกาเป็นแร้งก็ยังสูงไปด้วยซ้ำ”

          “หงสาบินสูง นกยูงมยุระก็พรากคู่แย่งเมียกัน วิสัยสัตว์โลกนางฟองคำ”

          จากบทสนทนาจะเห็นว่าพ่อเลี้ยงนั้นความจริงแล้วคงไม่ได้มีเจตนาจะกล่าวพาดพิงไปถึงเจ้าหล้าอินทะแต่อย่างใด แต่ด้วยนางฟองคำ พี่เลี้ยงของเจ้าจันท์นั้นมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อพ่อเลี้ยงอยู่ก่อนแล้วจึงสำคัญผิดไปเอง และแกล้งพูดจากระทบกระเทียบพ่อเลี้ยงว่าแย่งเจ้าจันท์มาจากเจ้าหล้า แร้งกายังสูงกว่าด้วยซ้ำ  ทว่าพ่อเลี้ยงกลับไม่ได้แสดงความโกรธเคืองหรือไม่พอใจนางฟองคำแต่อย่างใด เพียงแต่กล่าวว่าเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นวิสัยของสัตว์โลก 

          เช่นเดียวกันกับอีกคราวหนึ่งที่นางฟองคำได้กล่าวถ้อยคำกระทบกระเทียบการแต่งกายของพ่อเลี้ยงว่า เป็นแร้งกาต่ำคล้อยเอาขนยูงมาเสียบหาง  ทว่าพ่อเลี้ยงก็ไม่ได้โกรธเคืองอันใด กลับหัวเราะแล้วกล่าวเพียงว่า  “แล้วแต่สูจะว่าเทอะ นางฟองคำ”  ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพ่อเลี้ยงเป็นผู้มีวุฒิภาวะทางอารมณ์  มีความมั่นคง สุขุม แสดงถึงความเป็นผู้เข้าใจโลก และเข้าใจชีวิตอีกด้วย

          นอกจากพ่อเลี้ยงจะมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ สามารถความคุมอารมณ์ให้มั่นคง เยือกเย็นอยู่เสมอแล้ว พ่อเลี้ยงยังเป็นคนที่มีสติปัญญาและปฏิภาณไหวพริบอีกด้วย ครั้งหนึ่งเมื่อพ่อเลี้ยงเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตำนานเมืองเชียงแสนให้เจ้าจันท์ฟัง นางฟองคำได้กล่าวคำเหยียดชาติกำเนิดของพ่อเลี้ยง ดังนี้

 

          “ปะหล่องต่องสู่ก็รู้ตำนานบ้านเมืองเหมือนกันฤๅ พ่อเลี้ยง” นางฟองคำตื่นมาทันได้ยินก็ยื่นปากสอด “นึกว่าจะรู้แต่ขึ้นช้างลงม้าเข้าป่าเข้าดงแบกของมาขายแต่อย่างเดียว”

          “ปะหล่องต่องสู่มันก็คนเหมือนกันนางฟองคำ” พ่อเลี้ยงมันว่าสีหน้าท่าทางราบเรียบเงียบสงบ “อันใดควรรู้ปะหล่องต่องสู่มันก็ควรรู้ มันบ่แม่นวอกลิงไต่เต้นปลายไม้ จะได้รู้แต่สอดเสาะแสวงกิน”

 

          จะเห็นได้ว่าเมื่อนางฟองคำได้กล่าวเหยียดชาติกำเนิดของพ่อเลี้ยงที่นางเข้าใจว่าเป็น

ชาวปะหล่องว่า เป็นคนดงคนป่าไม่น่าจะมีความรู้เรื่องตำนานบ้านเมือง ทว่าพ่อเลี้ยงก็ไม่ได้แสดงท่าทางโกรธเคืองนาง และยังสามารถสรรหาถ้อยคำมาตอบโต้นางได้อย่างฉับไวว่า ปะหล่องต่องสู่
ก็เป็นคนเหมือนกัน สิ่งใดควรรู้ก็ย่อมรู้ไว้  ไม่เหมือนสัตว์ที่รู้แต่จะหากินตามสัญชาตญาณ

การเอาชีวิตรอด

         

          ในเรื่องความรักแม้ว่าพ่อเลี้ยงจะมีเมียอยู่แล้วแต่ก็ได้แสดงให้เห็นว่าตนมีความรักให้เจ้าจันท์อย่างลึกซึ้ง และเป็นความรักที่แตกต่างกันกับความรักของเจ้าหล้าอินทะอย่างสิ้นเชิง  ความรักของพ่อเลี้ยงที่มีต่อเจ้าจันท์นั้น  เป็นความรักและความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะได้มาครอบครอง ดังที่เจ้าตัวเคยประกาศไว้อย่างชัดเจนว่า “ข้าจะให้เจ้าจันท์รักข้าจนได้” ทว่าแม้พ่อเลี้ยงจะปรารถนาในตัวเจ้าจันท์แต่ก็ยังให้เกียรติและเคารพซึ่งการตัดสินใจของเจ้าจันท์  เช่น เมื่อเจ้าจันท์ตั้งเงื่อนไขว่าจะต้องไปนมัสการพระธาตุอินแขวนก่อนแต่งงาน พ่อเลี้ยงก็ยอมรับเงื่อนไขแต่โดยดี  แม้แต่เงื่อนไขที่ว่าหากผมหอมลอดได้เจ้าจันท์จะกลับคืนไปหาเจ้าหล้า พ่อเลี้ยงก็ยังยอมรับ ทั้งตลอดเวลาที่เดินทางร่วมกันพ่อเลี้ยงก็ไม่เคยแสดงกิริยาท่าทางว่าจะล่วงเกินเจ้าจันท์เลยแม้แต่น้อย  นอกจากนั้นพ่อเลี้ยงยังทุ่มเททั้งกำลังกาย และกำลังทรัพย์เพื่อให้ได้ครองคู่กับเจ้าจันท์

        ครั้งหนึ่งเจ้าจันท์เผลอพลั้งออกปากว่าดอกเอื้องแซะงามนัก  พ่อเลี้ยงก็ยังอุตส่าห์ปีนขึ้นไต่ผาสูงชัน เสี่ยงอันตรายเพื่อให้ได้มาซึ่งดอกงามที่เจ้าจันท์ปรารถนา  และสุดท้ายแม้ว่าพ่อเลี้ยงจะเคยประกาศกร้าวว่าจะทำให้เจ้าจันท์รักตนให้ได้ แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าจันท์ต้องทุกข์ใจ ด้วยผมหอมไม่อาจปูลอด
องค์พระธาตุได้อย่างหวัง ด้วยความรักที่มีต่อเจ้าจันท์และอยากเห็นคนที่รักมีความสุขพ่อเลี้ยงก็ตัดสินใจบอกเจ้าจันท์ว่า

 

          “ผมหอมลอดได้ ข้าจะให้เจ้าจันท์แต่งกับเจ้าหล้าอินทะ ผมหอมลอดบ่ได้ ข้าก็จะให้เจ้าจันท์แต่งกับเจ้าชายดีผู้นั้น

 

          เมื่อพิจารณาให้ดีแล้วจะเห็นได้ว่า “พ่อเลี้ยง” ไม่ใช่ตัวร้าย หรือตัวละครที่มีจิตใจเลวร้ายแต่อย่างใด หากแต่เป็นสุภาพบุรุษที่มีเกียรติ ศักดิ์ศรีเช่นที่มนุษย์ทุกคนพึงจะมี  ทั้งยังเป็นตัวละครที่สะท้อนให้เห็นเรื่องของการแบ่งชนชั้นวรรณะ การเหยียดชาติพันธุ์ นัยที่แฝงไว้ในตัวพ่อเลี้ยงนี้  เป็นไปได้ว่าผู้เขียนอาจต้องการเสียดสีในเรื่องของมายาคติ และการมองคนแต่ภายนอก ที่สำคัญผู้เขียนอาจกำลังพยายามชี้ให้เห็นลักษณะความเป็นมนุษย์ที่ต่างก็มีทั้งด้านดีและไม่ดีอยู่ในตัว อีกทั้งแต่ละคนก็ล้วนแต่มีเหตุผลเป็นของตัวเอง เราจึงไม่ควรตัดสินคนอื่นว่าสูงหรือต่ำ ดีหรือเลว แต่ควรจะเรียนรู้และทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน เพื่อให้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข


ภาษาพาเพลิน 



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ประโยชน์ของการอ่าน

สำนวน สุภาษิต และคำพังเพยแตกต่างกันอย่างไร