ภาษาไทยดิ้นได้

 


          พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน  พ.ศ. 2542  ได้ให้ความหมายของคำว่า ดิ้น ไว้ดังนี้

          ดิ้น 1  อาการที่สะบัดหรือฟาดตัวไปมาอย่างแรง  เช่น  ดิ้นให้หลุด  นอนดิ้น  ชักดิ้นชักงอ,  สั่นไหวกระดุกกระดิก เช่น หางจิ้งจกขาดยังดิ้นได้, ไม่ตายตัว เช่น คำพูดดิ้นได้; โดยปริยายหมายความว่า แก้ข้อหา, ปลดเปลื้องข้อหา, ในคำว่า ดิ้นไม่หลุด

          ดิ้น 2  น. เส้นเงิน ทอง หรือทองแดง  สำหรับปักลวดลายบนผ้าหรือแพรเป็นต้น.

          “ภาษาไทยดิ้นได้”  จึงมีความหมายว่า “ภาษาไทยไม่ตายตัว”

          คำว่า ตายตัว นี้  พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542  ได้ให้ความหมายว่า

          ตายตัว  ก. คงที่อยู่อย่างนั้น เช่น ราคาตายตัว อัตราตายตัว.

          เพราะนั้น “ภาษาไทยดิ้นได้”  ก็หมายความว่า “ภาษาไทยไม่คงที่อยู่อย่างนั้น”  ซึ่งความเปลี่ยนแปลงในภาษาไทยนั้นมีมาตั้งแต่โบราณกาล  แต่ที่เราไม่รู้สึกกันนั้นเพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปตามธรรมชาติอย่างช้า ๆ

          การเกิดคำใหม่ขึ้นเพื่อสนองความเปลี่ยนแปลงของสังคม

          บางคำเกิดขึ้นเพื่อสนองความเปลี่ยนแปลงของสังคม  ดังเช่นในสมัยปู่ย่าตายายใช้คำว่า ชิ้น ในความหมายว่า “คู่รัก”  คำนี้พจนานุกรมเก็บไว้ว่าเป็นภาษาปากทั้ง ๆ ที่น่าจะเปลี่ยนเป็นภาษาโบราณได้แล้ว  ต่อมาก็เปลี่ยนไปใช้คำว่า แฟน คำนี้ในพจนานุกรมก็ระบุไว้ว่าเป็นภาษาปาก  และให้ความหมายไว้ว่า “ผู้นิยมชมชอบ, ผู้เป็นที่ชอบพอรักใคร่, คู่รัก, สามีหรือภรรยา.”  ส่วนในปัจจุบันก็มีคำใหม่ขึ้นมาใช้ในทำนองเดียวกัน  คือคำว่า กิ๊ก  ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าในอนาคตคำว่า กิ๊ก ก็อาจจะกลายเป็นคำโบราณเช่นเดียวกับคำว่า ชิ้น ก็เป็นได้

          การเปลี่ยนแปลงแหล่งของคำยืม

          ความเปลี่ยนแปลงอีกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ  แหล่งที่มาของคำยืมซึ่งเปลี่ยนไปตามลักษณะของสังคม  ในยุคหนึ่งเรารับเอาพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์เข้ามาทำให้คำยืมส่วนใหญ่มาจากภาษาบาลีสันสกฤต  และด้วยอิทธิพลด้านการเมืองการปกครองจึงมีคำยืมจากภาษาเขมรเข้ามาด้วย  ซึ่งพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ระบุไว้ว่า  ภาษาไทยมีคำยืมจาภาษาต่าง ๆ ถึง 14 ภาษา  ได้แก่  เขมร จีน ชวา ญวน ญี่ปุ่น มอญ เบงกาลี บาลี ฝรั่งเศษ มลายู ละติน สันสกฤต อังกฤษ และฮินดี  ปัจจุบันแหล่งใหญ่ของคำยืมเปลี่ยนจากบาลี-สันสกฤตมาเป็นภาษาอังกฤษแทน

          การเปลี่ยนแปลงลักษณะของการออกเสียง

          ในด้านการออกเสียงก็มีความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเนื่องจากอิทธิพลของการสื่อสารอันกว้างขวางและฉับไว  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการออกเสียงพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ พยัญชนะบางตัวได้รับอิทธิพลจากภาษาอังกฤษ ทำให้การออกเสียงเปลี่ยนแปลงไป  เช่น เสียง ฉ ร ธ ในประโยคที่ว่า ฉันรักเธอ

          การเปลี่ยนแปลงลักษณะของการเขียน

          ลักษณะของการเปลี่ยนแลงภาษาเขียนนั้น  มักจะเกิดขึ้นในการสื่อสารเฉพาะกลุ่ม  เช่น  การใช้ภาษาในกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ต  ห้องสนทนา  MSN  เป็นต้น

          จากที่กล่าวมาข้างต้น  การเปลี่ยนแปลงบางอย่างยังไม่ลงตัว  อยู่ในลักษณะที่เรียกว่า
“การแปรของภาษา” สิ่งที่เกิดขึ้นจะมีปรากฏการณ์
2 อย่าง คือ ยอมรับว่าเป็น “มาตรฐาน” และ
การไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นมาตรฐาน แต่ได้รับการยอมรับภายในกลุ่มผู้ใช้ภาษานั้น ๆ และเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะอย่างเด็ดขาด ก็จะถือว่าเกิด “การเปลี่ยนแปลงของภาษา” ดังเช่นในกรณีของคำว่า โอย กับ อวย นั่นเอง

          ลักษณะ “การดิ้นได้” ของภาษาเช่นนี้ ถือว่าเป็นธรรมชาติของภาษา แต่เพื่อประโยชน์ของการสื่อสาร  ผู้ใช้ภาษาจึงต้องช่วยกันระมัดระวังมิให้ “ความไม่ตายตัว” เข้ามาขัดขวางการสื่อสาร  และสิ่งหนึ่งที่ควรคำนึงถึงก็คือ อะไรที่ “ไม่ดิ้น” หรือ “ดิ้นไม่ได้” ก็คือ “สิ่งที่ตายแล้ว”  ถ้าไม่อยากให้ภาษาไทยตายก็ต้องยอมรับความเปลี่ยนแปลง และช่วยกันดูแลให้การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นไปเพื่อประสิทธิภาพของการสื่อสาร เพื่อให้ภาษาไทยยังคงมีประโยชน์อยู่ในโลกปัจจุบันต่อไป

 

 

 

 

แหล่งอ้างอิง

นิตยา กาญจนวรรณ. (2552). “ภาษาไทยดิ้นได้,ปิยมหาราชานุสรณ์. จัดพิมพ์โดยสมาคมศิษย์เก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, หน้า 67-72.     

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิเคราะห์ตัวละคร “พ่อเลี้ยง” จากเรื่อง เจ้าจันท์ผมหอม นิราศพระธาตุอินแขวน

สำนวน สุภาษิต และคำพังเพยแตกต่างกันอย่างไร

ประโยชน์ของการอ่าน