สี่ดรุณี (Little Women) : Louisa May Alcott

 


 

          เรื่องสี่ดรุณี  เป็นวรรณกรรมเรื่องเยี่ยมผลงานของ  Louisa May Alcott  ซึ่ง อ. สนิทวงศ์ ได้แปลและเรียบเรียงจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ (Little Women) เป็นเรื่องราวของสี่พี่น้องครอบครัวมาร์ชที่แต่ละคนก็ต่างมีบุคลิกภาพที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองต่างกันออกไป  ทั้งสี่คนต้องพบเจอกับเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งช่วงเวลาที่สุข สนุกสนาน และช่วงเวลายากลำบากของชีวิต  ได้พบเหตุการณ์ และผู้คนที่แตกต่างกันออกไป  จนในที่สุดก็สามารถผ่านเรื่องราวต่าง ๆ ไปได้ด้วยความรัก ความผูกพันในครอบครัว  มิตรภาพ และจิตใจที่มุ่งมั่นในคุณงามความดี 

          ประการหนึ่งที่น่าสนใจคือ นักวิจารณ์หลายท่านได้ลงความเห็นว่า เรื่องสี่ดรุณี หรือ Little Women  มีลักษณะคล้ายกับอัตชีวประวัติของผู้เขียน (Louisa May Alcott)  กล่าวคือ  เธอเป็นบุตรคนที่สองในบรรดาพี่น้อง 4 คน  เธอเกิดในครอบครัวที่ค่อนข้างยากจน ทั้งยังเป็นนักเขียน ซึ่งตรงกับลักษณะของโจ หรือโยเซฟิน  วรรณกรรมเรื่องนี้จึงเสมือนเป็นภาพสะท้อนชีวิตบางแง่มุมของเธอด้วย  ต่อมาเมื่อเขียนเรื่อง Good Wives  จึงมีการแต่งเติมฉาก และเรื่องราวสมมติลงไปมากขึ้นเพื่อสร้างสีสันให้กับงานเขียน

          เดิมทีผู้เขียนได้รู้จักเรื่องสี่ดรุณีจากการชมภาพยนตร์ (Little Women. 1949)  ซึ่งเรื่องราวจะแตกต่างไปจากตัวเล่มวรรณกรรมเล็กน้อย  ด้วยเป็นการรวบเรื่องราวจากทั้งเรื่อง Little Women และเรื่อง Good Wives เข้าด้วยกันเป็นเรื่องเดียว  ทั้งยังมีการดัดแปลงเรื่องราวบางส่วนให้เหมาะสมกับการนำเสนอในรูปแบบภาพยนตร์  อย่างไรก็ตามภาพยนตร์เรื่อง Little women ได้สร้างความประทับใจให้แก่ผู้เขียนเป็นอย่างมาก  และเมื่อได้อ่านจากตัวเล่มวรรณกรรมก็ยิ่งทำให้ผู้เขียนประทับใจมากยิ่งขึ้นไปอีก


           ภาพจากภาพยนตร์ Little Women. 1949

          ความประทับใจของผู้เขียนที่มีต่อเรื่องสี่ดรุณี ประการหนึ่งนั้นเนื่องด้วยต้นฉบับภาษาอังกฤษของ Louisa มีการใช้ภาษาถ่ายทอดเรื่องราวได้ดี  แม้จะเป็นการใช้คำง่าย ๆ แต่สามารถสื่อความหมายชัดเจน  อีกทั้ง อ. สนิทวงศ์ ผู้แปลได้ถ่ายทอดและเรียบเรียงจากต้นฉบับภาษาอังกฤษมาเป็นภาษาไทยอย่างเหมาะเจาะลงตัว แสดงถึงความรู้ความเชี่ยวชาญในภาษา ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี

           แม้สำนวนภาษาในเรื่อง สี่ดรุณี ฉบับแปลและเรียบเรียงของ อ. สนิทวงศ์  จะค่อนข้างเก่า  และไม่คุ้นหูคุ้นตานักอ่านในยุคนี้เท่าใดนัก  แต่เมื่อได้พิจารณาและอ่านอย่างตั้งใจแล้วจะพบว่า สำนวนภาษานั้นแสดงถึงความสละสลวย  และความละเมียดละไมในการเรียบเรียงที่ปัจจุบันแทบไม่ปรากฏให้เห็นแล้วในวรรณกรรมยุคใหม่

          อีกประการหนึ่งที่ทำให้ผู้เขียนประทับใจในเรื่อง สี่ดรุณี เป็นอย่างมาก คือ อ่านแล้วได้ข้อคิดหลายด้าน  ทั้งข้อคิดในการดำเนินชีวิต และการอยู่ร่วมกันในสังคม ซึ่งสามารถนำเสนอเป็นประเด็นได้ ดังต่อไปนี้

          1. มนุษย์ทุกคนล้วนมีความแตกต่างกัน แต่ทุกคนสามารถพัฒนาตนเองให้เป็นคนดีได้

             ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า สี่พี่น้องแห่งตระกูลมาร์ชนั้นแต่ละคนมีบุคลิกภาพแตกต่างกันออกไป  ซึ่งผู้เขียนได้บรรยายภาพของสี่พี่น้องไว้ ดังนี้

 

          มากาเร๊ต  พี่สาวคนโตอายุ 16 ปี เป็นคนสวย รูปร่างอ้วนท้วม ผิวขาวสะอาด ดวงตาใหญ่กลม ผมสีน้ำตาลเส้นละเอียดและดก ปากบางแดง มือขาวสะอาดซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าตัวภูมิใจมาก  

          โจเซฟิน  น้องคนรองอายุ 15 ปี  รูปร่างสูงผอม ผิวเนื้อคล้ำ ดูรูปร่างคล้าย ๆ ลูกม้า แขนขาดูยาวเกะกะ ปากเม้มแน่นเสมอ  ดวงตาสีเทาของโจคมและมีแววเฉลียวฉลาด แต่บางครั้งก็มีแววเคร่งขรึมและดุดัน ผมยาวดกของโจ เป็นสิ่งสวยงามสิ่งเดียวทั้งเนื้อทั้งตัว  โจมีหลังโกง เท้าและมือใหญ่ เด็กหญิงผู้นี้ไม่สนใจในเรื่องเสื้อผ้าและเครื่องแต่งตัว และไม่พอใจที่ตัวกำลังจะเติบโตเป็นสาว

          เอลิซาเบ็ธ หรือเบ็ธ ตามที่ทุก ๆ คนเรียกเป็นเด็กหญิงอายุ 13 มีดวงตาสุกใส แก้มแดงเรื่อและผมเรียบ กิริยาท่าทางเรียบร้อย ขี้อายและสงบเสงี่ยม หน้าตาเรียบ ๆ ดูท่าทางเป็นผู้รักความสงบ  บิดาเรียกเบ็ธว่า “ผู้รักความสงบ” ซึ่งเป็นชื่อที่เหมาะสมยิ่ง เพราะเบ็ธอยู่ในโลกของตนอย่างผาสุก และออกมาพบปะสนทนากับบุคคลสองสามคน ซึ่งตนรักและไว้วางใจเท่านั้น

 

          เอมี แม้ว่าจะเป็นน้องคนสุดท้องแต่ก็เป็นบุคคลที่สำคัญมากคนหนึ่ง
เธอมีผิวขาวสะอาด ตาสีฟ้าผมสีทองหยิกยาวประบ่า รูปร่างสะโอดสะอง ท่าทางเป็นสง่าภาคภูมิ และชอบทำตัวเป็นสาว ระวังกิริยามารยาทมากที่สุด

 

             ไม่เพียงแต่บุคลิกภาพภายนอกเท่านั้น แต่ลักษณะนิสัยใจคอของทั้งสี่พี่น้องยังแตกต่างกันอีกด้วย 

             มากาเร๊ต หรือเม็กนั้นนับว่าเสมือนตัวแทนของเด็กสาวแรกรุ่น  เธอสุภาพ อ่อนหวาน และวางตัวสมเป็นกุลสตรี ทว่าลึก ๆ แล้วเม็กรู้สึกว่าความยากจนเป็นภาระอันหนักสำหรับเธอ ความใฝ่ฝันของเธอคือต้องการใช้ชีวิตอย่างหรูหรา สุขสบาย และเป็นที่ยอมรับในสังคงคม  ดังข้อความในตอนหนึ่งได้แสดงถึงภาพชีวิตในอุดมคติของเม็กว่า

 

          ฉันอยากมีบ้านที่สวยงาม เต็มไปด้วยความหรูหราฟุ่มเฟือยทุกชนิด
มีอาหารดี ๆ เสื้อผ้าสวย ๆ เครื่องประดับห้องอย่างงดงาม  มีคนในบ้านที่ดีและมีเงินทองมากมาย...”

 

             ในขณะที่ โจ หรือ โยเซฟิน ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง  เธอมีนิสัยร่าเริง กล้าแสดงออกอย่างเปิดเผยและจริงใจ  เธอมีนิสัยรักการอ่าน และมักใช้เวลาไปกับการอ่านและการเขียน ทว่าค่อนข้างเจ้าโทสะ และปากร้าย  ยังไม่พอใจในตนเองอย่างมากที่ตนกำลังจะโตเป็นสาว  ถึงขนาดเคยประกาศว่า หากการเกล้าผมทำให้เธอเป็นสาว  เธอก็จะเปียผมจนกระทั่งอายุ 20 ปีเลยทีเดียว  โจรู้สึกเสียใจอย่างยิ่งที่เธอไม่ใช่เด็กผู้ชาย ดังจะเห็นได้จากคำพูดของเธอในตอนหนึ่งว่า

         

          “...ฉันเสียใจเหลือเกินที่ไม่ได้เกิดมาเป็นผู้ชาย ยิ่งเดี๋ยวนี้ยิ่งร้ายใหญ่ เพราะฉันอยากไปร่วมรบกับคุณพ่อใจแทบขาด แต่ฉันก็ต้องนั่งถักไหมพรมอยู่บ้านราวกับยายแก่”

 

 

             ส่วนเอลิซาเบ็ธ หรือเบ็ธ  ลูกสาวคนที่ 3 ของครอบครัวมาร์ชนั้นเป็นคนขี้อายจนไม่สามารถไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนได้  เธอมีนิสัยรักความสงบสุข รักธรรมชาติ และโอบอ้อมอารี 
ทั้งยังรักดนตรีและการร้องเพลงมาก  เธอค่อนข้างสมถะและพอใจในสิ่งที่ตนเองมี  ครั้งหนึ่งเมื่อลอรี่ถามถึงความใฝ่ฝันของเธอ  เบ็ธตอบว่า

 

          “เมื่อฉันมีปีอาโนเล็กแล้ว ฉันรู้สึกพ่อใจมาก ฉันอยากอยู่กับพ่อแม่พี่น้องด้วยความสงบสุขเท่านั้น และไม่ต้องการอะไรอีกเลย”

 

             คำตอบของเบ็ธนั้นแสดงออกถึงนิสัยใจคอ และพื้นฐานความคิดของเธอได้เป็นอย่างดี 
อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความรักที่เธอมีต่อครอบครัวอย่างลึกซึ้งอีกด้วย

 

              เอมี  น้องสุดท้องของครอบครัวมาร์ช  เป็นเด็กที่รักการวาดรูปเป็นชีวิตจิตใจ  และด้วยความที่เป็นคนร่าเริง สดใจ รู้จักเอาอกเอาใจผู้อื่น ทำให้เอมีเป็นที่รักใคร่ของคนในครอบครัวและบรรดาเพื่อนฝูง ทว่านั่นกลับทำให้เธอกลับกลายเป็นคนที่มีความเห็นแก่ตัวและค่อนข้างขี้โอ่ จนทำให้เธอต้องประสบความยุ่งยากหลายประการทีเดียว

 

             จะเห็นได้ว่าทั้งสี่พี่น้องครอบครัวมาร์ชนั้นนอกจากจะมีบุคลิกภาพที่แตกต่างกันออกไปแล้ว แต่ละคนยังมีข้อบกพร่องในตัวเอง  ลักษณะของตัวละครทั้งสี่ รวมทั้งตัวละครสำคัญอื่น ๆ เช่น มิสเตอร์และมิสซิสมาร์ช  มิสเตอร์ลอเรนซ์ และลอรี่  ล้วนแต่แสดงให้เห็นถึงธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ที่ต่างก็มีทั้งด้านที่ดีและไม่ดีอยู่ในตัวเอง  แต่หากรู้จักเรียนรู้จากความผิดพลาด และประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต บุคคลย่อมสามารถพัฒนาตนเอง และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในทิศทางที่ดีได้  เช่นเดียวกับเม็ก โจ เบ็ธ และเอมี  ที่ต่างก็ได้เผชิญกับปัญหาทั้งที่เกิดจากลักษณะนิสัยที่ไม่พึงประสงค์ของตนเอง และปัญหาที่เกิดขึ้นกับครอบครัวอย่างกะทันหัน
แต่ทั้งสี่คนก็สามารถผ่านเรื่องราวต่าง ๆ ไปได้ด้วยมิตรภาพ ความรัก และความผูกพันในครอบครัว  ประสบการณ์เหล่านี้เองเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ทั้งสี่เรียนรู้ที่จะพัฒนาตนเอง และเติบโตขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง

 

          2. พ่อแม่ควรเป็นตัวเอย่างที่ดีให้แก่ลูก 

              การที่พ่อแม่จะสั่งสอนลูกให้เป็นคนดีนั้น  วิธีการที่ได้ผลดีที่สุด คือ การประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี  ดังที่มิสเตอร์และมิสซิสมาร์ชได้กระทำตนเป็นแบบอย่างแก่ดรุณีทั้งสี่ 
มิสเตอร์มาร์ชผู้เป็นพ่อนั้น  แม้จะอายุมากและไม่แข็งแรงพอที่จะออกไปร่วมรบ แต่ในขณะที่บ้านเมืองเกิดสงครามก็ได้อาสาไปทำหน้าที่อนุศาสนาจารย์ในกองทัพ  ด้วยจิตใจที่หวังจะสร้างประโยชน์ให้แก่ชาติบ้านบ้านเมือง 

              ส่วนมิสซิสมาร์ชนั้นเป็นผู้ที่มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น มีความมั่นคงทางอารมณ์ มีเหตุผล เธอปกครองลูก ๆ ด้วยความยุติธรรม และเต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา  นับว่าเป็นแบบอย่างที่ดีทั้งด้านการบุคลิกภาพ การวางตัว และการปฏิบัติตน  ดังจะเห็นได้จากตอน วันคริสมาส มิสซิสมาร์ชได้ชักชวนให้ลูก ๆ ช่วยเหลือหญิงที่เพิ่งคลอดบุตรใหม่ ซึ่งยากจนและอาศัยอยู่ในที่แออัด   เธอไม่ได้สั่งสอนลูก ๆ ให้ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยคำพูดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น  แต่ได้ลงมือปฏิบัติและชักชวนให้ลูก ๆ ได้ร่วมลงมือทำด้วย เพื่อให้เด็กทั้งสี่ได้สัมผัสกับความสุขที่ได้รับจากการช่วยเหลือผู้อื่นด้วยตนเอง 

              อีกตอนหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่ามิสซิสมาร์ชได้ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีต่อลูก ๆ คือตอน โจประสบความยุ่งยาก  ซึ่งเป็นเรื่องราวตอนที่โจถือโทษโกรษแค้นเอมีอย่างหนักจนทำให้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเอมี มิสซิสมาร์ชได้แสดงให้ว่าเธอเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ลูกได้ดังนี้

                   

          “แม่พยายามหักห้ามความโกรธของแม่มาสี่สิบว่าปีแล้ว และเพิ่งจะทำได้สำเร็จ แม่มีเรื่องโกรธเกือบทุก ๆ วัน ตลอดชีวิตของแม่ แต่แม่พยายามที่จะไม่แสดงให้ใครเห็นว่าแม่โกรธและแม่กำลังพยายามที่จะไม่รู้สึกโกรธและแม่กำลังพยายามที่จะไม่รู้สึกโกรธแม้ว่าจะต้องทำไปอีกตั้ง 40ปี”

          ความอดทนและความอ่อนโยนในดวงหน้าซึ่งโจรักอย่างมากมายนั้น เป็นบทเรียนอันดียิ่งสำหรับโจมากยิ่งกว่าคำสั่งสอนหรือติเตียน...

 

             จะเห็นได้ว่าพฤติกรรมและบุคลิกภาพของพ่อแม่นั้นมีผลต่อจิตใจลูก ๆ อย่างมาก  ดังนั้นหากต้องการให้ลูกเป็นคนดีพ่อแม่ก็ควรปฏิบัติตนเป็นคนดี เป็นแบบอย่างให้ลูกดูก่อน  เช่นเดียวกันกับสังคมในปัจจุบัน  หากต้องการให้คนในสังคมปฏิบัติตนเป็นคนดี ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองก็ควรปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่คนในสังคม

 

          3. มิตรภาพ ความรัก และความผูกพันในครอบครัวจะช่วยให้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

             เมื่อต้องประสบปัญหาต่าง ๆ ในชีวิต  กำลังใจจากคนรอบข้างโดยเฉพาะครอบครัวนั้นนับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจให้มีพละกำลังที่จะยืนหยัดต่อสู้กับอุปสรรค ปัญหาต่าง ๆ ต่อไปได้  เช่นเดียวกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวมาร์ชในตอนที่ได้รับโทรเลขแจ้งเรื่องอาการป่วยของมิสเตอร์มาร์ช และมิสซิสมาร์ชต้องเดินทางไปดูอาการสามี  ทิ้งเด็ก ๆ ทั้งสี่ให้อยู่บ้านตามลำพัง  ซ้ำร้ายในระหว่างที่แม่ไม่อยู่นั้นเองเบ็ธก็ล้มป่วยลงด้วยโรคไข้อีดำอีแดง อาการหนักจนต้องให้เอมี่ย้ายไปอยู่กับป้ามาร์ช  ช่วงเวลาที่ทุกข์ยากนั้นเองที่ทั้งสี่พี่น้องได้เรียนรู้ และเติบโตขึ้น  และเพราะความรัก ความผูกพันในครอบครัว กำลังใจ และมิตรภาพคนรอบข้าง  ทำให้ครอบครัวมาร์ชสามารถผ่านเหตุการณ์ร้าย ๆ มาได้ในที่สุด

             ในที่นี้จะขอยกเหตุการณ์ในตอน โทรเลขบอกข่าวร้าย ที่เหล่ามิตรสหายของ

ครอบครัวมาร์ชต่างก็แสดงออกถึงความเอื้ออารี และน้ำใจที่พร้อมจะช่วยเหลือทันทีที่ทราบข่าวอาการป่วยของมิสเตอร์มาร์ช

 

          ...ฮันนาเป็นคนได้สติคนอื่น แกให้ตัวอย่างอันดีแก่เด็กเหล่านั้นโดยบอกให้เขาทำงาน เพราะการทำงานเป็นยาแก้ทุกข์ยากทุกชนิด

          “ขอพระผู้เป็นเจ้าคุ้มครองนายผู้ชายที่รักด้วย! ดิฉันจะไม่เสียเวลาร้องไห้ไปเปล่า ๆ แต่จะรีบเตรียมของสำหรับเดินทางให้คุณนายเดี๋ยวนี้”

 

             จากข้อความในตอนนี้แสดงให้เห็นถึงความรัก และผูกพันของฮันนาที่มีต่อครอบครัวมาร์ช

อย่างลึกซึ้งเกินกว่าคำว่าลูกจ้างกับนายจ้าง  ซึ่งหากพิจารณาให้ดีแล้วจะเห็นว่าความรู้สึกผูกพันนี้เองที่ช่วยค้ำชูจิตใจของทั้งสองฝ่ายไม่ให้ตระหนกกับข่าวร้ายที่ได้รับ และยังคงมีสติที่จะจัดการเรื่องต่าง ๆ ต่อไป

             ในขณะที่ลอรีนั้นได้แสดงถึงมารยาทอันดีของมิตรสหาย โดยการไม่ก้าวล่วงล้ำเข้าไปในอาณาเขตที่เรียกว่า “เรื่องส่วนตัว” โดยเมื่อได้รับข่าวร้ายและความโศกเศร้าเข้าจู่โจมครอบครัวมาร์ช เขาก็ได้ปลีกตัวออกไปเสียจากบรรยากาศของครอบครัว ทว่าก็พร้อมเสมอที่จะยื่นมือช่วยหากครอบครัวมาร์ชต้องการ  ดังจะเห็นได้จากพฤติกรรมของเขาดังต่อไปนี้

                 

          “ลอรีอยู่ไหน?” หล่อนถาม เมื่อคิดได้แล้วว่าควรจะทำอะไรก่อน

          “ลูกอยู่นี่จ้ะ ขอให้ลูกทำอะไรบ้างนะจ๊ะเพื่อช่วยเหลือแม่” เด็กชายตอบพลางรีบเดินมาจากห้องถัดไป ลอรีได้หลบเข้าไปอยู่ในห้องนั้น เพราะรู้สึกว่าความโศกเศร้าของมิสซิสมาร์ชและพวกลูก ๆ เป็นของศักดิ์สิทธิ์เกินกว่าดวงตาของผู้เป็นมิตรเช่นเขาจะอยู่ดูได้

          “เธอช่วยไปโทรเลขบอกว่าฉันจะไปทันที รถออกพรุ่งนี้เช้าตรู่ ฉันจะไปรถขบวนนั้น”

          “มีธุระอื่นอีกไหมจ๊ะ ลูกเตรียมม้าไว้พร้อมแล้ว แม่จะใช้ให้ลูกไปไหน ๆ หรือทำอะไร ๆ ก็ได้ทั้งนั้น”  เขาพูด ท่าทางเขาเตรียมพร้อมที่จะรับใช้มิสซิสมาร์ช ด้วยความเต็มใจ

         

             ทั้งนี้ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือความเอื้อเฟื้อจากมิสเตอร์ลอเรนซ์ ชายชราได้จัดหาข้าวของทุกชนิดสำหรับใช้ในการพยาบาลคนไข้ และสัญญาว่าจะคอยดูแลพวกเด็ก ๆ ระหว่างที่มิสซิสมาร์ชไม่อยู่ เขาพยายามช่วยเหลือทุกอย่าง และทราบดีว่าการเดินทางไปแต่ลำพังนั้นลำบากมากจึงขอให้
มิสเตอร์บรุ๊กเดินทางไปกับมิสซิสมาร์ชด้วยเพื่อช่วยอำนวยความสะดวก 

             นอกจากนั้น เหตุการณ์ในวันนั้นทำให้ทุกคนได้เห็นการเสียสละอันยิ่งใหญ่ของโจ
ซึ่งเกิดขึ้นจากความรักที่มีต่อครอบครัวอย่างลึกซึ้ง  โจได้กระทำการอันไม่มีใครคาดคิดนั่นก็คือ การ ขายผม ผมสีน้ำตาลแสนสวยเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินจำนวน 25 ดอลลาร์ สำหรับให้แม่ใช้สอยระหว่าง
การเดินทาง นับว่าเป็นการเสียสละครั้งใหญ่ในชีวิตของโจเลยทีเดียว และด้วยกำลังใจอันเข้มแข็งของครอบครัวมาร์ช มิตรภาพ และความช่วยเหลือจากคนรอบข้างเหล่านี้เอง ทำให้ครอบครัวมาร์ช
สามารถฝ่าฟันวิกฤต และผ่านพ้นอุปสรรคปัญหาต่าง ๆ มาได้ด้วยดีในที่สุด

 

          4. ควรรู้จักใช้เวลาอย่างคุ้มค่า แบ่งเวลาให้ถูกต้อง และปฏิบัติหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด

             ข้อคิดอีกประการหนึ่งจากการได้อ่าน เรื่อง สี่ดรุณี คือเรื่องของการใช้เวลาอย่างคุ้มค่า 
ไม่ควรปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์  ดังจะเห็นได้จากตอน ทดลอง ที่เด็ก ๆ
ครอบครัวมาร์ช อยากจะลองพักผ่อนทั้งวันโดยไม่ทำอะไรเลย มิสซิสมาร์ชผู้เป็นมารดาจึงให้ทั้งสี่คนทดลองให้เวลา 1 อาทิตย์โดยไม่ต้องทำงานเลย ไม่ต้องรับผิดชอบหน้าที่ใด ๆ ที่ตนเคยได้รับมอบหมาย  เดิมทีพวกเธอตื่นเต้นมากที่จะได้ใช้เวลาที่มีตามใจชอบ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเด็ก ๆ ก็ได้เรียนรู้ว่าการที่ทุกคนละเลยงานในหน้าที่ของตนเอง และปล่อยเวลาให้ผ่านไปเฉย ๆ นั้น  ทำให้เกิดความยุ่งยากตามมามากมายเพียงใด  มิสซิสมาร์ชได้กล่าวเตือนใจลูก ๆ ในตอนท้ายว่า

 

          “...แม่อยากให้ลูกทราบว่าการที่เราจะอยู่กันอย่างสุขสบายนั้นก็ต้องอาศัยการช่วยกันทำงานคนละเล็กละน้อย เมื่อแม่กับฮันนาช่วยกันทำงานของลูก ลูกก็รู้สึกสบาย แต่แม่อยากให้ลูกเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าหากทุกคนคิดถึงแต่ตัวเองถ่ายเดียว ...การที่มีหน้าที่ของลูกทำทุก ๆ วันนั้น ทำให้มีความสุข และทำให้บ้านของเราน่าสบาย และน่าอยู่สำหรับเราทุกคน”

          “...จงใช้เวลาวันหนึ่ง ๆ ของลูกทำประโยชน์และพักผ่อนให้สบาย และแสดงให้เห็นว่าลูกรู้จักค่าของเวลา โดยรู้จักใช้ประโยชน แล้วลูกก็จะรู้สึกว่าชีวิตในวัยสาวของลูกเต็มไปด้วยสิ่งที่เบิกบาน ชีวิตในวัยชราเต็มไปด้วยความสุข และลูกจะได้รับผลสำเร็จอย่างงดงามแม้ว่าเราจะเป็นคนยากจน”

 

          5. ผู้หญิงที่ดีคือผู้หญิงรู้จักคุณค่าของตนเอง และความรัก

              ข้อคิดในเรื่องนี้ปรากฏอยู่ในเรื่อง สี่ดรุณี ตอน บทเรียนใหม่ของเม็ก  เป็นเรื่องราวในตอนที่มากาเร๊ต หรือเม็ก ได้มีโอกาสคบค้าสมาคมกับบ้านแอนนี ม็อฟแฟ็ต และได้รู้จักสังคมของคนมีเงินดังที่เธอใฝ่ฝันไว้  ในช่วงแรกเธอมีความสุขมากที่ได้รับประทานอาหารดี ๆ นั่งรถไปเที่ยว และแต่งกายสวยทุกวัน  จนกระทั่งวันหนึ่งเธอก็ได้เรียนรู้ว่าสังคมคนรวย  ไม่ได้สวยงาม หรูหรา และเป็นสวรรค์เหมือนดั่งที่เธอคาดหวังไว้  ทว่าเป็นสังคมที่ทุกคนต่างสวมหน้ากากเข้าหากัน และเธอเองก็ถูกมองด้วยสายตาสมเพช มิตรภาพอันบริสุทธิ์ของเธอถูกทำลายด้วยคำพูดเหลวไหล และคำกล่าวหาร้ายกาจถึงแผนการของมิสซิสมาร์ชที่จะห้เธอแต่งงานกับลอรี่เพื่อยกระดับฐานะตนเอง

             เม็กไม่สบายใจเป็นอย่างมากกับเรื่องนี้ เธอได้เรียนรู้ว่าความสุขที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การแต่งตัวสวยงาม การเข้าสังคมหรูหรา แต่คือการอยู่ในบ้านที่เต็มไปด้วยความรักความอบอุ่น  และเมื่อเธอเล่าเรื่องคำกล่าวหาของร้ายกาจที่ได้ยินให้มารดาฟัง  มิสซิสมาร์ชจึงกล่าวเตือนสติเธออย่างอ่อนโยนว่า

 

             “...แม่อยากให้ลูกแต่งงานกับชายที่ดี  ไม่ใช่คนร่ำรวยที่ปราศจากคุณธรรมอันดี แม่ไม่อยากให้ลูกมีบ้านอันใหญ่โตหรูหราแต่ขาดความสุขในบ้านนั้น เงินทองเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อเรามากก็จริง แต่แม่ไม่ต้องการให้ลูกแสวงหาแต่เงินทองสิ่งเดียวเท่านั้น แม่อยากเห็นลูกของแม่เป็นภรรยาคนจน ๆ แต่มีความรัก ความสุข และความพใจในบ้านของลูกเอง  มากกว่าเป็นราชินีแห่งราชบัลลังก์อันสูงศักดิ์แต่ปราศจากความนับถือตนเอง ความสงบสุขและความรัก”

           นอกจากนั้นมิสซิสมาร์ชยังแสดงทัศนะอีกว่า ผู้หญิงที่ดีย่อมคู่ควรกับความรักอันบริสุทธิ์ 

แต่หากขาดซึ่งความรักอันดีงามแล้วการอยู่เป็นโสดย่อมจะดีกว่า ในประโยคที่ว่า

 

          “...เป็นสาวแก่ที่มีความสุขดีกว่าเป็นภรรยาที่ไม่มีความสุข หรือผู้หญิงสาว ๆ ที่ชอบวิ่งหาผัว”  

           นอกจากที่กล่าวมาแล้ว เรื่องสี่ดรุณียังแฝงไว้ด้วยข้อคิดอีกมากมายที่ไม่สามารถยกมากล่าวถึงโดยได้ในเวลาและพื้นที่อันจำกัด  ข้อสังเกตอย่างหนึ่งที่ผู้เขียนค้นพบคือ  ส่วนใหญ่แล้วมารดาของเด็กทั้งสี่จะมีบทบาทสำคัญในการให้ข้อคิด ให้บทเรียน ตลอดจนเป็นเสมือนเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของลูก ๆ อีกทั้งด้วยบุคลิกภาพอบอุ่น  โอบอ้อมอารี  สุขุม รอบคอบ และมีสติปัญญาที่เฉียบแหลม  ทำให้ผู้เขียนนิยมชมชอบตัวละครนี้เป็นอย่างมาก  ซึ่งค่อนข้างตรงกับประวัติชีวิตของผู้เขียน (Louisa May Alcott) อย่างที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้นนั่นเอง

           เรื่อง สี่ดรุณี หรือ Little Women นับเป็นวรรณกรรมเรื่องเยี่ยมที่มีคุณค่า น่าอ่าน ทั้งยังให้ข้อคิด และแนวทางในการดำเนินชีวิตแก่ผู้อ่าน  โดยมุ่งชี้ให้เห็นความสำคัญของสถาบันครอบครัวที่จะเป็นส่วนสำคัญในการหล่อหลอมให้บุคคลเติบโตขึ้นเป็นคนดี  ใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานของความดีงาม และการปฏิบัติตนเพื่อสร้างคุณประโยชน์ให้แก่ตนเอง ผู้อื่นและสังคม 


ภาษาพาเพลิน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิเคราะห์ตัวละคร “พ่อเลี้ยง” จากเรื่อง เจ้าจันท์ผมหอม นิราศพระธาตุอินแขวน

สำนวน สุภาษิต และคำพังเพยแตกต่างกันอย่างไร

ประโยชน์ของการอ่าน