สี่ดรุณี (Little Women) : Louisa May Alcott
ประการหนึ่งที่น่าสนใจคือ
นักวิจารณ์หลายท่านได้ลงความเห็นว่า เรื่องสี่ดรุณี หรือ Little
Women มีลักษณะคล้ายกับอัตชีวประวัติของผู้เขียน (Louisa
May Alcott) กล่าวคือ เธอเป็นบุตรคนที่สองในบรรดาพี่น้อง
4 คน เธอเกิดในครอบครัวที่ค่อนข้างยากจน
ทั้งยังเป็นนักเขียน ซึ่งตรงกับลักษณะของโจ หรือโยเซฟิน
วรรณกรรมเรื่องนี้จึงเสมือนเป็นภาพสะท้อนชีวิตบางแง่มุมของเธอด้วย ต่อมาเมื่อเขียนเรื่อง Good Wives จึงมีการแต่งเติมฉาก
และเรื่องราวสมมติลงไปมากขึ้นเพื่อสร้างสีสันให้กับงานเขียน
เดิมทีผู้เขียนได้รู้จักเรื่องสี่ดรุณีจากการชมภาพยนตร์
(Little
Women. 1949) ซึ่งเรื่องราวจะแตกต่างไปจากตัวเล่มวรรณกรรมเล็กน้อย ด้วยเป็นการรวบเรื่องราวจากทั้งเรื่อง Little
Women และเรื่อง Good Wives เข้าด้วยกันเป็นเรื่องเดียว ทั้งยังมีการดัดแปลงเรื่องราวบางส่วนให้เหมาะสมกับการนำเสนอในรูปแบบภาพยนตร์ อย่างไรก็ตามภาพยนตร์เรื่อง Little
women ได้สร้างความประทับใจให้แก่ผู้เขียนเป็นอย่างมาก และเมื่อได้อ่านจากตัวเล่มวรรณกรรมก็ยิ่งทำให้ผู้เขียนประทับใจมากยิ่งขึ้นไปอีก
ความประทับใจของผู้เขียนที่มีต่อเรื่องสี่ดรุณี
ประการหนึ่งนั้นเนื่องด้วยต้นฉบับภาษาอังกฤษของ Louisa มีการใช้ภาษาถ่ายทอดเรื่องราวได้ดี แม้จะเป็นการใช้คำง่าย ๆ แต่สามารถสื่อความหมายชัดเจน อีกทั้ง อ. สนิทวงศ์
ผู้แปลได้ถ่ายทอดและเรียบเรียงจากต้นฉบับภาษาอังกฤษมาเป็นภาษาไทยอย่างเหมาะเจาะลงตัว
แสดงถึงความรู้ความเชี่ยวชาญในภาษา ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี
อีกประการหนึ่งที่ทำให้ผู้เขียนประทับใจในเรื่อง
สี่ดรุณี เป็นอย่างมาก คือ อ่านแล้วได้ข้อคิดหลายด้าน ทั้งข้อคิดในการดำเนินชีวิต
และการอยู่ร่วมกันในสังคม ซึ่งสามารถนำเสนอเป็นประเด็นได้ ดังต่อไปนี้
1. มนุษย์ทุกคนล้วนมีความแตกต่างกัน
แต่ทุกคนสามารถพัฒนาตนเองให้เป็นคนดีได้
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า สี่พี่น้องแห่งตระกูลมาร์ชนั้นแต่ละคนมีบุคลิกภาพแตกต่างกันออกไป ซึ่งผู้เขียนได้บรรยายภาพของสี่พี่น้องไว้ ดังนี้
มากาเร๊ต พี่สาวคนโตอายุ 16 ปี
เป็นคนสวย รูปร่างอ้วนท้วม ผิวขาวสะอาด ดวงตาใหญ่กลม ผมสีน้ำตาลเส้นละเอียดและดก
ปากบางแดง มือขาวสะอาดซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าตัวภูมิใจมาก
โจเซฟิน น้องคนรองอายุ 15
ปี รูปร่างสูงผอม
ผิวเนื้อคล้ำ ดูรูปร่างคล้าย ๆ ลูกม้า แขนขาดูยาวเกะกะ ปากเม้มแน่นเสมอ ดวงตาสีเทาของโจคมและมีแววเฉลียวฉลาด
แต่บางครั้งก็มีแววเคร่งขรึมและดุดัน ผมยาวดกของโจ
เป็นสิ่งสวยงามสิ่งเดียวทั้งเนื้อทั้งตัว
โจมีหลังโกง เท้าและมือใหญ่
เด็กหญิงผู้นี้ไม่สนใจในเรื่องเสื้อผ้าและเครื่องแต่งตัว และไม่พอใจที่ตัวกำลังจะเติบโตเป็นสาว
เอลิซาเบ็ธ หรือเบ็ธ ตามที่ทุก ๆ
คนเรียกเป็นเด็กหญิงอายุ 13 มีดวงตาสุกใส
แก้มแดงเรื่อและผมเรียบ กิริยาท่าทางเรียบร้อย ขี้อายและสงบเสงี่ยม หน้าตาเรียบ ๆ
ดูท่าทางเป็นผู้รักความสงบ
บิดาเรียกเบ็ธว่า “ผู้รักความสงบ” ซึ่งเป็นชื่อที่เหมาะสมยิ่ง เพราะเบ็ธอยู่ในโลกของตนอย่างผาสุก
และออกมาพบปะสนทนากับบุคคลสองสามคน ซึ่งตนรักและไว้วางใจเท่านั้น
ไม่เพียงแต่บุคลิกภาพภายนอกเท่านั้น แต่ลักษณะนิสัยใจคอของทั้งสี่พี่น้องยังแตกต่างกันอีกด้วย
มากาเร๊ต หรือเม็กนั้นนับว่าเสมือนตัวแทนของเด็กสาวแรกรุ่น เธอสุภาพ อ่อนหวาน และวางตัวสมเป็นกุลสตรี ทว่าลึก
ๆ แล้วเม็กรู้สึกว่าความยากจนเป็นภาระอันหนักสำหรับเธอ ความใฝ่ฝันของเธอคือต้องการใช้ชีวิตอย่างหรูหรา
สุขสบาย และเป็นที่ยอมรับในสังคงคม ดังข้อความในตอนหนึ่งได้แสดงถึงภาพชีวิตในอุดมคติของเม็กว่า
ในขณะที่ โจ หรือ โยเซฟิน
ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เธอมีนิสัยร่าเริง
กล้าแสดงออกอย่างเปิดเผยและจริงใจ
เธอมีนิสัยรักการอ่าน และมักใช้เวลาไปกับการอ่านและการเขียน ทว่าค่อนข้างเจ้าโทสะ
และปากร้าย ยังไม่พอใจในตนเองอย่างมากที่ตนกำลังจะโตเป็นสาว ถึงขนาดเคยประกาศว่า หากการเกล้าผมทำให้เธอเป็นสาว เธอก็จะเปียผมจนกระทั่งอายุ 20
ปีเลยทีเดียว
โจรู้สึกเสียใจอย่างยิ่งที่เธอไม่ใช่เด็กผู้ชาย ดังจะเห็นได้จากคำพูดของเธอในตอนหนึ่งว่า
“...ฉันเสียใจเหลือเกินที่ไม่ได้เกิดมาเป็นผู้ชาย
ยิ่งเดี๋ยวนี้ยิ่งร้ายใหญ่ เพราะฉันอยากไปร่วมรบกับคุณพ่อใจแทบขาด
แต่ฉันก็ต้องนั่งถักไหมพรมอยู่บ้านราวกับยายแก่”
“เมื่อฉันมีปีอาโนเล็กแล้ว
ฉันรู้สึกพ่อใจมาก ฉันอยากอยู่กับพ่อแม่พี่น้องด้วยความสงบสุขเท่านั้น
และไม่ต้องการอะไรอีกเลย”
คำตอบของเบ็ธนั้นแสดงออกถึงนิสัยใจคอ
และพื้นฐานความคิดของเธอได้เป็นอย่างดี
อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความรักที่เธอมีต่อครอบครัวอย่างลึกซึ้งอีกด้วย
เอมี
น้องสุดท้องของครอบครัวมาร์ช
เป็นเด็กที่รักการวาดรูปเป็นชีวิตจิตใจ
และด้วยความที่เป็นคนร่าเริง สดใจ รู้จักเอาอกเอาใจผู้อื่น
ทำให้เอมีเป็นที่รักใคร่ของคนในครอบครัวและบรรดาเพื่อนฝูง ทว่านั่นกลับทำให้เธอกลับกลายเป็นคนที่มีความเห็นแก่ตัวและค่อนข้างขี้โอ่
จนทำให้เธอต้องประสบความยุ่งยากหลายประการทีเดียว
2.
พ่อแม่ควรเป็นตัวเอย่างที่ดีให้แก่ลูก
ส่วนมิสซิสมาร์ชนั้นเป็นผู้ที่มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น
มีความมั่นคงทางอารมณ์ มีเหตุผล เธอปกครองลูก ๆ ด้วยความยุติธรรม และเต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา นับว่าเป็นแบบอย่างที่ดีทั้งด้านการบุคลิกภาพ
การวางตัว และการปฏิบัติตน
ดังจะเห็นได้จากตอน วันคริสมาส มิสซิสมาร์ชได้ชักชวนให้ลูก ๆ
ช่วยเหลือหญิงที่เพิ่งคลอดบุตรใหม่ ซึ่งยากจนและอาศัยอยู่ในที่แออัด เธอไม่ได้สั่งสอนลูก ๆ
ให้ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยคำพูดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ได้ลงมือปฏิบัติและชักชวนให้ลูก ๆ
ได้ร่วมลงมือทำด้วย เพื่อให้เด็กทั้งสี่ได้สัมผัสกับความสุขที่ได้รับจากการช่วยเหลือผู้อื่นด้วยตนเอง
อีกตอนหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่ามิสซิสมาร์ชได้ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีต่อลูก
ๆ คือตอน โจประสบความยุ่งยาก ซึ่งเป็นเรื่องราวตอนที่โจถือโทษโกรษแค้นเอมีอย่างหนักจนทำให้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเอมี
มิสซิสมาร์ชได้แสดงให้ว่าเธอเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ลูกได้ดังนี้
“แม่พยายามหักห้ามความโกรธของแม่มาสี่สิบว่าปีแล้ว
และเพิ่งจะทำได้สำเร็จ แม่มีเรื่องโกรธเกือบทุก ๆ วัน ตลอดชีวิตของแม่
แต่แม่พยายามที่จะไม่แสดงให้ใครเห็นว่าแม่โกรธและแม่กำลังพยายามที่จะไม่รู้สึกโกรธและแม่กำลังพยายามที่จะไม่รู้สึกโกรธแม้ว่าจะต้องทำไปอีกตั้ง
40ปี”
ความอดทนและความอ่อนโยนในดวงหน้าซึ่งโจรักอย่างมากมายนั้น
เป็นบทเรียนอันดียิ่งสำหรับโจมากยิ่งกว่าคำสั่งสอนหรือติเตียน...
จะเห็นได้ว่าพฤติกรรมและบุคลิกภาพของพ่อแม่นั้นมีผลต่อจิตใจลูก
ๆ อย่างมาก
ดังนั้นหากต้องการให้ลูกเป็นคนดีพ่อแม่ก็ควรปฏิบัติตนเป็นคนดี
เป็นแบบอย่างให้ลูกดูก่อน
เช่นเดียวกันกับสังคมในปัจจุบัน
หากต้องการให้คนในสังคมปฏิบัติตนเป็นคนดี
ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองก็ควรปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่คนในสังคม
3.
มิตรภาพ ความรัก และความผูกพันในครอบครัวจะช่วยให้ปัญหาและอุปสรรคต่าง
ๆ ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
เมื่อต้องประสบปัญหาต่าง ๆ ในชีวิต
กำลังใจจากคนรอบข้างโดยเฉพาะครอบครัวนั้นนับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจให้มีพละกำลังที่จะยืนหยัดต่อสู้กับอุปสรรค
ปัญหาต่าง ๆ ต่อไปได้ เช่นเดียวกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวมาร์ชในตอนที่ได้รับโทรเลขแจ้งเรื่องอาการป่วยของมิสเตอร์มาร์ช
และมิสซิสมาร์ชต้องเดินทางไปดูอาการสามี
ทิ้งเด็ก ๆ ทั้งสี่ให้อยู่บ้านตามลำพัง
ซ้ำร้ายในระหว่างที่แม่ไม่อยู่นั้นเองเบ็ธก็ล้มป่วยลงด้วยโรคไข้อีดำอีแดง
อาการหนักจนต้องให้เอมี่ย้ายไปอยู่กับป้ามาร์ช
ช่วงเวลาที่ทุกข์ยากนั้นเองที่ทั้งสี่พี่น้องได้เรียนรู้
และเติบโตขึ้น และเพราะความรัก
ความผูกพันในครอบครัว กำลังใจ และมิตรภาพคนรอบข้าง ทำให้ครอบครัวมาร์ชสามารถผ่านเหตุการณ์ร้าย ๆ
มาได้ในที่สุด
ในที่นี้จะขอยกเหตุการณ์ในตอน โทรเลขบอกข่าวร้าย
ที่เหล่ามิตรสหายของ
ครอบครัวมาร์ชต่างก็แสดงออกถึงความเอื้ออารี
และน้ำใจที่พร้อมจะช่วยเหลือทันทีที่ทราบข่าวอาการป่วยของมิสเตอร์มาร์ช
...ฮันนาเป็นคนได้สติคนอื่น
แกให้ตัวอย่างอันดีแก่เด็กเหล่านั้นโดยบอกให้เขาทำงาน เพราะการทำงานเป็นยาแก้ทุกข์ยากทุกชนิด
“ขอพระผู้เป็นเจ้าคุ้มครองนายผู้ชายที่รักด้วย!
ดิฉันจะไม่เสียเวลาร้องไห้ไปเปล่า ๆ
แต่จะรีบเตรียมของสำหรับเดินทางให้คุณนายเดี๋ยวนี้”
จากข้อความในตอนนี้แสดงให้เห็นถึงความรัก
และผูกพันของฮันนาที่มีต่อครอบครัวมาร์ช
อย่างลึกซึ้งเกินกว่าคำว่าลูกจ้างกับนายจ้าง
ซึ่งหากพิจารณาให้ดีแล้วจะเห็นว่าความรู้สึกผูกพันนี้เองที่ช่วยค้ำชูจิตใจของทั้งสองฝ่ายไม่ให้ตระหนกกับข่าวร้ายที่ได้รับ
และยังคงมีสติที่จะจัดการเรื่องต่าง ๆ ต่อไป
ในขณะที่ลอรีนั้นได้แสดงถึงมารยาทอันดีของมิตรสหาย โดยการไม่ก้าวล่วงล้ำเข้าไปในอาณาเขตที่เรียกว่า
“เรื่องส่วนตัว” โดยเมื่อได้รับข่าวร้ายและความโศกเศร้าเข้าจู่โจมครอบครัวมาร์ช
เขาก็ได้ปลีกตัวออกไปเสียจากบรรยากาศของครอบครัว ทว่าก็พร้อมเสมอที่จะยื่นมือช่วยหากครอบครัวมาร์ชต้องการ ดังจะเห็นได้จากพฤติกรรมของเขาดังต่อไปนี้
…
“ลอรีอยู่ไหน?” หล่อนถาม
เมื่อคิดได้แล้วว่าควรจะทำอะไรก่อน
“ลูกอยู่นี่จ้ะ
ขอให้ลูกทำอะไรบ้างนะจ๊ะเพื่อช่วยเหลือแม่” เด็กชายตอบพลางรีบเดินมาจากห้องถัดไป
ลอรีได้หลบเข้าไปอยู่ในห้องนั้น
เพราะรู้สึกว่าความโศกเศร้าของมิสซิสมาร์ชและพวกลูก ๆ เป็นของศักดิ์สิทธิ์เกินกว่าดวงตาของผู้เป็นมิตรเช่นเขาจะอยู่ดูได้
“เธอช่วยไปโทรเลขบอกว่าฉันจะไปทันที
รถออกพรุ่งนี้เช้าตรู่ ฉันจะไปรถขบวนนั้น”
“มีธุระอื่นอีกไหมจ๊ะ
ลูกเตรียมม้าไว้พร้อมแล้ว แม่จะใช้ให้ลูกไปไหน ๆ หรือทำอะไร ๆ ก็ได้ทั้งนั้น” เขาพูด ท่าทางเขาเตรียมพร้อมที่จะรับใช้มิสซิสมาร์ช
ด้วยความเต็มใจ
4.
ควรรู้จักใช้เวลาอย่างคุ้มค่า แบ่งเวลาให้ถูกต้อง และปฏิบัติหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด
“...แม่อยากให้ลูกทราบว่าการที่เราจะอยู่กันอย่างสุขสบายนั้นก็ต้องอาศัยการช่วยกันทำงานคนละเล็กละน้อย
เมื่อแม่กับฮันนาช่วยกันทำงานของลูก ลูกก็รู้สึกสบาย
แต่แม่อยากให้ลูกเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าหากทุกคนคิดถึงแต่ตัวเองถ่ายเดียว
...การที่มีหน้าที่ของลูกทำทุก ๆ วันนั้น ทำให้มีความสุข และทำให้บ้านของเราน่าสบาย
และน่าอยู่สำหรับเราทุกคน”
“...จงใช้เวลาวันหนึ่ง ๆ
ของลูกทำประโยชน์และพักผ่อนให้สบาย และแสดงให้เห็นว่าลูกรู้จักค่าของเวลา
โดยรู้จักใช้ประโยชน แล้วลูกก็จะรู้สึกว่าชีวิตในวัยสาวของลูกเต็มไปด้วยสิ่งที่เบิกบาน
ชีวิตในวัยชราเต็มไปด้วยความสุข
และลูกจะได้รับผลสำเร็จอย่างงดงามแม้ว่าเราจะเป็นคนยากจน”
5.
ผู้หญิงที่ดีคือผู้หญิงรู้จักคุณค่าของตนเอง และความรัก
ข้อคิดในเรื่องนี้ปรากฏอยู่ในเรื่อง สี่ดรุณี
ตอน บทเรียนใหม่ของเม็ก เป็นเรื่องราวในตอนที่มากาเร๊ต
หรือเม็ก ได้มีโอกาสคบค้าสมาคมกับบ้านแอนนี ม็อฟแฟ็ต
และได้รู้จักสังคมของคนมีเงินดังที่เธอใฝ่ฝันไว้
ในช่วงแรกเธอมีความสุขมากที่ได้รับประทานอาหารดี ๆ นั่งรถไปเที่ยว
และแต่งกายสวยทุกวัน
จนกระทั่งวันหนึ่งเธอก็ได้เรียนรู้ว่าสังคมคนรวย ไม่ได้สวยงาม หรูหรา
และเป็นสวรรค์เหมือนดั่งที่เธอคาดหวังไว้
ทว่าเป็นสังคมที่ทุกคนต่างสวมหน้ากากเข้าหากัน
และเธอเองก็ถูกมองด้วยสายตาสมเพช
มิตรภาพอันบริสุทธิ์ของเธอถูกทำลายด้วยคำพูดเหลวไหล
และคำกล่าวหาร้ายกาจถึงแผนการของมิสซิสมาร์ชที่จะห้เธอแต่งงานกับลอรี่เพื่อยกระดับฐานะตนเอง
เม็กไม่สบายใจเป็นอย่างมากกับเรื่องนี้
เธอได้เรียนรู้ว่าความสุขที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การแต่งตัวสวยงาม
การเข้าสังคมหรูหรา แต่คือการอยู่ในบ้านที่เต็มไปด้วยความรักความอบอุ่น
และเมื่อเธอเล่าเรื่องคำกล่าวหาของร้ายกาจที่ได้ยินให้มารดาฟัง มิสซิสมาร์ชจึงกล่าวเตือนสติเธออย่างอ่อนโยนว่า
“...แม่อยากให้ลูกแต่งงานกับชายที่ดี
ไม่ใช่คนร่ำรวยที่ปราศจากคุณธรรมอันดี
แม่ไม่อยากให้ลูกมีบ้านอันใหญ่โตหรูหราแต่ขาดความสุขในบ้านนั้น
เงินทองเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อเรามากก็จริง
แต่แม่ไม่ต้องการให้ลูกแสวงหาแต่เงินทองสิ่งเดียวเท่านั้น
แม่อยากเห็นลูกของแม่เป็นภรรยาคนจน ๆ แต่มีความรัก ความสุข
และความพใจในบ้านของลูกเอง
มากกว่าเป็นราชินีแห่งราชบัลลังก์อันสูงศักดิ์แต่ปราศจากความนับถือตนเอง
ความสงบสุขและความรัก”
“...เป็นสาวแก่ที่มีความสุขดีกว่าเป็นภรรยาที่ไม่มีความสุข
หรือผู้หญิงสาว ๆ ที่ชอบวิ่งหาผัว”
ภาษาพาเพลิน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น